ปัจจุบันการทำศัลยกรรมใบหน้า ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีใบหน้าที่สวย ดูดี ทั้งนั้น แม้แต่งานวิจัยในสมัยก่อนก็ยังระบุว่าคนที่มีบุคลิกลักษณะหน้าตาดีมีแน้วโน้มที่จะประสบผลสำเร็จด้านการทำงาน แต่เราจะทำอย่างไรในเมื่อการผ่าตัดปรับโครงสร้างใบหน้ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย รวมทั้งผลกระทบที่จะตามมาที่อาจทำให้เราสวยแบบสุขภาพกายย่ำแย่ก็เป็นได้
ทพ.ดร.อมรพงษ์ วชิระมน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมช่องปาก ขากรรไกร ใบหน้า และทันตกรรมจัดฟันเวอร์เทค คลินิคทันตกรรม ผิวพรรณ ศัลยกรรมความงาม ให้ความรู้ว่า บุคลิกลักษณะของโครงสร้างใบหน้าถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง เพราะคนเราเกิดมาครั้งเดียวก็อยากมีใบหน้าที่ดูดี โดยการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใบหน้า เพื่อรักษาคนไข้ เราต้องดูแบบองค์รวม คือมองคนไข้ทั้งใบหน้าไม่ใช่มองแต่ตาหรือหน้าผาก เพราะบางคนที่ปิดหน้าทั้งหมดเปิดเฉพาะตา เรามองว่าตาสวย แต่เมื่อเปิดหน้ามาทั้งหมดดูไม่รับกับหน้ามองภาพรวมแล้วอาจจะไม่สวยก็ได้ ฉะนั้นเวลาเรามองคนว่าหน้าตาดีหรือไม่ต้องมององค์รวมทั้งหมด เช่น ใบหน้ามีจมูก ตา ปาก อยู่ในตำแหน่งที่ประสานกันแล้วดูดี ทำให้บางคนที่ดวงตาหรือจมูกไม่สวย แต่เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่ได้สัดส่วนดีก็ทำให้เรามีบุคลิกหน้าตาดีได้
การผ่าตัดปรับโครงสร้างใบหน้าไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ ก่อนอื่นต้องตรวจวิเคราะห์สภาพของโครงสร้างใบหน้า ริมฝีปากและฟันของคนไข้อย่างละเอียด ส่วนใหญ่จะเน้นการคุยกับคนไข้ก่อน จากนั้นถ่ายรูปและเอกซเรย์นำไปวิเคราะห์ในเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อทราบสัดส่วนต่างๆ ของใบหน้าว่าตำแหน่งตรงไหนดีหรือไม่ดี และตรงไหนที่ควรแก้ไข ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ 3 มิติจะเป็นไกด์ให้เราได้ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้น่าจะคางยื่นออกมาประมาณนี้จึงจะสวย จากนั้นทำภาพจำลองขึ้นมาเป็น 3 มิติให้คนไข้ดูทำให้คนไข้สามารถตัดสินใจได้ว่าชอบหรือไม่ชอบ เพราะบางครั้งมุมมองของแพทย์ก็แตกต่างจากคนไข้โดยสิ้นเชิง ฉะนั้นการตรวจคนไข้รวมถึงการซักประวัติที่ดีและการจำลองใบหน้าด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ 3 มิติให้คนไข้ดูก่อนเพื่อจะได้เข้าใจไปในทางเดียวกันและตอบสนองความต้องการของคนไข้ได้
นอกจากการตรวจคนไข้ การใช้เครื่องวิเคราะห์และสรุปผลการรักษาที่คนไข้พอใจแล้ว เราต้องมาดูผลข้างเคียงต่างๆ ในการปรับโครงสร้างใบหน้าด้วย โดยเฉพาะโครงกระดูกใบหน้าซึ่งมีขั้นตอนการทำค่อนข้างซับซ้อน โดยเฉพาะการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับการสบฟัน เช่น การขยับขากรรไกรบน ขากรรไกรล่าง การขยับโหนกแก้มจะมีผลต่อการบดเคี้ยวของฟันร่วมด้วย ซึ่งเราต้องมีการเตรียมสภาพของตำแหน่งของฟันไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อให้คนไข้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้หลังจากผ่าตัด
การทำศัลยกรรมไม่ใช่แค่การผ่าตัดให้คนไข้ดูสวยอย่างเดียว แต่พออ้าปากมาแล้วฟันไม่สบกันเลยซักซี่ ทำให้คนไข้ดูสวยแต่กินข้าวไม่ได้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร และไม่เพียงแต่การสบฟันที่มีผลกระทบอย่างเดียวแต่มีผลกระทบต่อทางเดินหายใจด้วย เพราะการเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าจะมีผลกระทบทำให้ทางเดินหายใจเล็กลงหรือใหญ่ขึ้นด้วย เช่น การเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าที่ถอยไปข้างหลัง ได้แก่ คนไข้ที่คางยื่นมากๆ แล้วเราถอยคางไปข้างหลังมากๆ อาจจะมีผลทำให้ทางเดินหายใจของคนไข้เล็กลง ซึ่งอาจจะนำไปสู่การหยุดหายใจขณะนอนหลับ มีผลโดยตรงต่อระบบหัวใจและระบบสมอง
ดังนั้นวิธีการแก้ไขปัญหาด้านการสบฟัน เราควรมีการเตรียมพร้อมก่อนที่จะมีการผ่าตัดโครงสร้างใบหน้า โดยในคนไข้ที่เปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าและมีการเปลี่ยนการสบฟันจะตัองมีการจัดฟันร่วมด้วย เพื่อเตรียมตำแหน่งฟันให้สบกันได้ก่อนที่จะมีการผ่าตัด หลังจากผ่าตัดเสร็จต้องจัดฟันต่อเพื่อให้ฟันลงกันได้อีก ถือเป็นผลข้างเคียงอย่างหนึ่งที่เราสามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟัน ถ้าคนไข้ไม่อยากให้คนอื่นทราบว่ามีการจัดฟันเพื่อทำศัลยกรรม ปัจจุบันนี้มีเครื่องมือที่สามารถซ่อนเครื่องมือไว้ด้านในฟันหรือใช้พลาสติกใสมากจนแทบมองไม่เห็นมาช่วยในการจัดฟันด้วย
ส่วนเรื่องการป้องกันทางเดินหายใจแคบลง เราสามารถถ่ายภาพเอกซเรย์เป็นภาพถ่าย 3 มิติ เข้าไปในคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวณทางเดินหายใจที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากการผ่าตัดทำให้ทราบว่าทางเดินหายใจคนไข้เล็กลงหรือใหญ่ขึ้น เช่น บางคนไม่เคยนอนกรนเลย เมื่อผ่าตัดโครงสร้างใบหน้าแล้ว กลายเป็นคนนอนกรน เพราะทางเดินหายใจตีบขึ้น ซึ่งไม่เฉพาะเสียงกรนที่ตามมาเพียงอย่างเดียว อาจจะมีการหยุดหายใจร่วมด้วยและมีผลต่อเนื่องต่อระบบหัวใจและสมอง ในบางกรณีที่คนไข้เป็นหนักๆ จะนำไปสู่หัวใจที่ทำงานหนักกว่าปกติทำให้หัวใจโต หัวใจวาย เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตในที่สุด
ในกรณีที่คนไข้จำเป็นต้องรักษาโครงสร้างใบหน้าเนื่องจากคางยื่น แต่เมื่อคำนวณแล้วพบว่าการแก้ไขจะทำให้ทางเดินหายใจเล็กลง อาจจะวิเคราะห์ทางเดินหายใจของคนไข้ก่อน ถ้าคนไข้ทั่วไปมีทางเดินหายใจที่กว้างอยู่แล้วอาจจะยอมรับได้กับการที่ทางเดินหายใจเล็กลงไปบางส่วน แต่กรณีคนไข้ที่มีประวัตินอนกรน หยุดหายใจขณะนอนหลับจะต้องพิจารณาการผ่าตัดอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการเลื่อนขากรรไกรถอยไปทำให้ทางเดินหายใจเล็กลงไปอีก โดยใช้การผ่าตัดวิธีอื่นมาแทน เช่น ผ่าตัดเลื่อนขากรรไกรบนและโหนกแก้มออกมาแทน เพราะเวลาเรามองคนคางยื่นจะไปเทียบกับแก้ม ขากรรไกรบนกับจมูกทำให้มองดูว่าคางยื่น ซึ่งคนไข้สามารถแก้ไขได้ด้วยการเลื่อนโหนกแก้ม ขากรรไกรบนออกมาและเสริมจมูกเข้าไป เมื่อเทียบดูแล้วคางจะไม่ยื่น
อย่างไรก็ตามการผ่าตัดโครงสร้างใบหน้าไม่ได้เป็นการผ่าตัดเพื่อความสวยงามอย่างเดียว แต่เป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาด้วย เช่น เด็กที่มีปัญหาโครงสร้างใบหน้าส่วนกลางยุบมากเกินทำให้ตาถลนออกมา อาจทำให้ตาบอดได้ การผ่าตัดเลื่อนโครงสร้างใบหน้ามารับกับดวงตาทำให้รักษาดวงตาเอาไว้ได้หรือในเด็กที่มีความผิดปกติแต่กำเนิด ซึ่งที่พบบ่อยคือคนไข้ในกลุ่มหน้าเบี้ยว เป็นปัญหาของการเจริญเติบโตของโครงสร้างใบหน้า ซึ่งไม่เพียงแต่แก้ไขให้หน้าดูดีขึ้น แต่เราดูแลในแง่ของจิตใจด้วย เพราะเด็กบางคนหน้าเบี้ยวมากจนไม่อยากไปโรงเรียนหรือพบผู้คนทำให้มีผลต่อการพัฒนาการ ดังนั้นศัลยกรรมไม่ได้เพียงช่วยให้ใบหน้าเราดูดีขึ้นอย่างเดียวแต่เป็นการรักษาทั้งในด้านสุขภาพและด้านจิตใจไปพร้อมๆ กัน