วิธีสังเกตปัญหาสุขภาพช่องปากของคนพิการ

ปัญหาสุขภาพช่องปากมีมากมาย เช่น ฟันผุ ฟันคุด แผลในช่องปาก เหงือกบวม เหงือกอักเสบ  ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนปกติทั่วไปที่เวลามีปัญหาก็วิ่งไปพบทันตแพทย์  แต่ในคนพิการมันไม่ง่ายอย่างนั้น

ทพญ.ดร.มัทนา  เกษตระทัต  อาจารย์ประจำคณะทันตแพทย์ศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ทำโครงการวิจัยการสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาร่ะบบบริการและระบบสร้างเสริมสุขภาพช่องปากสำหรับคนพิการในประเทศไทย  โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และสถาบันสร้างเสริมคนพิการ (สสพ.) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางในการสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพช่องปากของคนพิการผ่านงานทันตสาธารณสุขตั้งแต่ระดับปฐมภูมิถึงตติยภูมิ  เพื่อเสนอต่อกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย  และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  บอกว่าปัญหาสุขภาพช่องปากในคนพิการก็เหมือนกับคนปกติทั่วไป  แต่ในคนที่มีความผิดปกติทางสมอง เช่น ออทิสติก ดาวน์ซินโดรม ดูแลตัวเองไม่ได้ การทำความสะอาดช่องปากอาจทำได้ไม่ดีเท่ากับคนปกติ  ทำให้เกิดปัญหาเหงือกอักเสบและฟันผุมาก  พอมาพบทันตแพทย์ก็มีปัญหาสุขภาพช่องปากมากแล้ว  ถ้าเป็นเด็กที่พิการอาจจะไม่มีปัญหามากนัก เพราะมีทันตแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะเด็กดูแลอยู่แล้ว  แต่ผู้พิการทางสมองที่มีอายุมากขึ้น อาจมีปัญหาได้

ความจริงการวินิจฉันโรคในช่องปากคนพิการไม่ได้มีปัญหาสำหรับทันตแพทย์  แต่ปัญหาที่พบบ่อย  เมื่อผู้พิการทางสมองมาพบแพทย์ คือ ไม่ยอมอ้าปาก  ปัญหาเรื่องการสื่อสาร นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวก็มีปัญหาเช่นกัน  เนื่องจากสถานบริการในประเทศไทยไม่ได้ทำไว้รองรับผู้พิการเหมือนกับต่างประเทศ เช่น ประตูทางเข้าห้องทำฟันแคบมากจนรถเข็นไม่สามารถเข้าไปได้

ดังนั้นการตรวจรักษาปัญหาสุขภาพช่องปากในผู้พิการทางสมอง  และการเคลื่อนไหว อาจต้องใช้เวลามากกว่าคนปกติ จากเดิมใช้เวลาประมาณ 30 นาที อาจเพิ่มเป็น 1 ชม.

นอกจากนี้ยังพบว่า เมื่อคนไข้ที่สมองพิการมาพบทันตแพทย์ตัวทันตแพทย์เองจะไม่กล้าตรวจรักษา เพราะเกรงว่า อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ตัวคนไข้เองก็ไม่นิ่ง คงเป็นเพราะว่าในอดีตที่ผ่านมายังไม่มีการเตรียมพร้อมทันตแพทย์ในการดูแลคนพิการ  แต่ปัจจุบันเริ่มมีการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรีหรืออบรมระยะสั้นไปแล้ว

เมื่อถามว่าจะมีวิธีสังเกตความผิดปกติของคนพิการที่มีปัญหาสุขภาพช่องปากอย่างไร ทพญ.ดร.มัทนา กล่าวว่า อาจดูที่สีหน้าเวลารับประทานอาหาร เช่น ดูว่ามีอาการหยีตาแสดงอาการเจ็บปวดหรือไม่ เอามือทุบปาก เอานิ้วแหย่ปากหรือไม่

คนพิการมีสิทธิตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอยู่แล้ว แต่หลักปฏิบัติผู้ให้บริการยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มนี้เท่าไร  อาจจะไปมองที่กลุ่มอื่นมากกว่า  เพราะผู้พิการมักจะอยู่ที่บ้านการเดินทางออกมารับการรักษายังสถานพยาบาลยากลำบาก และไม่มีความสะดวกในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเรื่องการเดินทาง ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล  หากระบบประกันสุขภาพหรือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำพวกอุปกรณ์ ยา และวัสดุทางการแพทย์ก็จะเป็นการให้การช่วยเหลือคนพิการได้มาก  และอยากให้ออกข้อกำหนดให้สถานพยาบาลจัดสภาพแวดล้อมให้สะดวกต่อคนพิการ เช่น ทางขึ้นสำหรับรถเข็น ประตูทางเข้าที่กว้างพอ ห้องน้ำสำหรับคนพิการ ที่สำคัญอยากให้ทุกมหาวิทยาลัยมีการจัดการเรียนการสอนทักษะทางคลินิกในการให้บริการคนพิการ  โดยการบรรจุประเด็นคนพิการในกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ หรือในรายวิชาเลือก และเน้นการสร้างความเชื่อมั่นให้ทันตแพทย์ทั่วไปสามารถดูแลรักษาคนพิการได้  ไม่ควรผลักหรือส่งต่อผู้พิการไปที่อื่น นอกจากนี้ จะต้องเร่งสนับสนุนให้พ่อ แม่หรือผู้ดูแล เด็กพิเศษ คนพิการให้ใส่ใจดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กตั้งแต่ก่อนที่ฟันซี่แรกจะขึ้น จะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพทางช่องปากได้อย่างดีที่สุด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

6 + 10 =