วิธีการควบคุมและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น

เด็กเล็กและเด็กอ่อน มีความไวและอ่อนไหวต่อปฏิกิริยาภูมิแพ้อย่างมาก เพราะภูมิต้านทานตามธรรมชาติยังไม่แข็งแรง โดยเฉพาะในเด็กที่ไม่ได้ดื่มน้ำนมมารดา ด้วยเหตุใดก็ตาม ประกอบกับการใช้พรม ติดผ้าม่าน มีน้องแมว น้องสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยง ดูจะเป็นเทรนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ทุกโรงพยาบาลมีผู้ป่วยเด็กโรคภูมิแพ้เข้าๆออกๆ ทำการรักษาอยู่เป็นประจำและมีจำนวนมากเพิ่มขึ้น

การพบแพทย์ ตรวจร่างกาย วินิจฉัยโรคเป็นเรื่องซ้ำซาก รวมทั้งการรักษาต่อเนื่องเป็นภาระแก่คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองเป็นอย่างมากประเด็นสำคัญที่ควรตระหนักคือ วิธีปกป้องป้องกัน ควบคุมและหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดโรคนี้หรือจับอาการภูมิแพ้

วิธีการควบคุมและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น

1.  การคลุมเครื่องนอน

2.  การซักล้าง

3.  การดูดฝุ่น

4.  การใช้เครื่องฟอกอากาศ

5.  การปรับสภาพแวดล้อมในบ้าน

การคลุมเครื่องนอน

เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ และใช้กันอย่างแพร่หลายช่วยให้ผู้ป่วยลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นได้ ทำให้อาการของโรคภูมิแพ้ทุเลาลง และวิธีการใช้งานยังสะดวกในชีวิตประจำวัน

ผ้าคลุมกันไรฝุ่นสามารถป้องกันไรฝุ่นได้อย่างไร

–         ไรฝุ่นจะอาศัยอยู่ในเครื่องนอน ได้แก่ ที่นอน หมอน ผ้านวม ดังนั้น ผ้าคลุมนี้จึงช่วยป้องกันไม่ให้ไรฝุ่นออกมาภายนอก และไม่ให้ฟุ้งกระจายในอากาศทำให้เราสูดดมเข้าไป

–         วิธีใช้คือ สวมคลุมที่นอน หมอน ก่อนสวมทับด้วยปลอกหมอน หรือผ้าปูที่นอนที่เคยใช้ปกติประจำวัน

ควรเลือกซื้อผ้าคลุมกันไรฝุ่นแบบไหนดี

–         ควรเลือกซื้อผ้าคลุมกันไรฝุ่นชนิดเนื้อผ้าทอแน่น โดยที่รูระหว่างเส้นใยผ้าเล็กพอที่จะป้องกันตัวไรฝุ่น หรืออุจจาระของไรฝุ่นได้

–         โดยทั่วไปตัวเต็มวัยของไรฝุ่นมีขนาดประมาณ 300 ไมครอนและอุจจาระของไรฝุ่นมีขนาดประมาณ 10-40 ไมครอน

เนื้อผ้าชนิดทอแน่นสามารถป้องกันตัวไรฝุ่น และอุจจาระของไรฝุ่นไม่ให้ออกจากหมอนหรือที่นอนได้

การซักล้าง

เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นจัดเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่สามารถละลายได้ในน้ำ การซักล้างด้วยน้ำที่อุณหภูมิใดๆ ก็ตามสามารถกำจัดฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่สามารถทำลายตัวไรฝุ่นได้ ดังนั้น การซักล้างด้วยน้ำที่อุณหภูมิ 55-60 องศาเซลเซียส เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที จะสามารถทำลายตัวไรฝุ่นได้ โดยควรทำเป็นประจำทุกๆ 2 สัปดาห์

การดูดฝุ่น

เป็นวิธีปฏิบัติที่น่าจะได้ผลดี แต่การดูดไรฝุ่นที่มีชีวิตค่อนข้างทำได้ยากเนื่องจากตัวไรฝุ่นสามารถยึดเหนียวกับเส้นใยผ้าไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เครื่องดูดฝุ่นที่มี High filtration system (HEPA filter) น่าจะได้ผลดีกว่าเครื่องดูดฝุ่นธรรมดา เพราะสามารถดักจับสารก่อภูมิแพ้ไม่ให้ฟุ้งกระจายในขณะดูดฝุ่น

อย่างไรก็ดี การดูดฝุ่นจะทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของสารก่อภูมิแพ้ทุกชนิด ดังนั้น จึงควรเปิดหน้าต่างและสวมผ้าปิดปากและจมูกในขณะดูดฝุ่น

การใช้เครื่องฟอกอากาศ

การฟอกอากาศแต่เพียงอย่างเดียวยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีประสิทธิภาพในการลดปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ แต่ก็ไม่มีข้อเสียในการใช้

เนื่องจากสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น เป็นสารที่มีอนุภาคขนาดใหญ่(มากกว่า 10-40 ไมครอน) จะฟุ้งกระจายเมื่อมีแรงมากระทบที่นอนและจะตกลงภายใน 5 นาที ดังนั้นการใช้เครื่องฟอกอากาศดักจับในระยะห่างจึงได้ผลน้อย แต่สารก่อภูมิแพ้ประเภทอื่นๆ เช่น ละอองเกสรและเชื้อราจะมีอนุภาคขนาดเล็กทำให้สามารถลอยตัวในอากาศได้นานจึงสามารถขจัดได้ดี

การปรับสภาพแวดล้อมในบ้าน

–         พรมเป็นแหล่งสะสมที่สำคัญของสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน ซึ่งในปัจจุบัน พบว่ายังไม่มีวิธีใดที่มีประสิทธิภาพในการขจัดสารก่อภูมิแพ้ในพรมให้หมดไปได้จากการเอาพรมออก

–         การเช็ดถูด้วยผ้าเปียกจะสามารถขจัดสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นได้มากกว่าการเช็ดถูด้วยผ้าแห้ง

–         การจัดห้องนอนให้โล่งโปร่ง แสงแดดส่องถึง ไม่ควรมีมุมของรกหรือกองหนังสือ ที่เป็นแหล่งสะสมฝุ่น เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ของใช้ของเด็กเล่นและตุ๊กตาไม่ควรเป็นชนิดมีเส้นใย

–         การติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพอากาศภายในบ้าน ห้องนอน หรือห้องพัก โดยการลดระดับความชื้นและอุณหภูมิในห้องนั้น ซึ่งเชื่อว่าช่วยให้สภาพไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของไรฝุ่น

ข้อมูลจาก นายแพทย์ปรีดา  สง่าเจริญกิจ กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และวิทยาภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพญาไท1

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

fifteen − 9 =